โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“มะเร็ง” คือกลุ่มของโรคที่เซลล์แบ่งตัวอย่างผิดปกติรุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียงจนไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของ อนุมูลอิสระ (Free Radicle) ซึ่งเป็นอะตอมที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาดอิเลกตรอน (ลักษณะประจุไฟฟ้าลบ)ไป 1 ตัว เมื่อผู้ถูกแย่งกลายเป็นตัวปัญหาเพราะตนไม่มั่นคง ก็จะแย่งอิเล็กตรอนโมเลกุลอื่นมาเป็นทอดๆ จนเกิดการรุกลามต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่และไม่สามารถหยุดยั้งได้
การสูญเสีย “อิเล็กตรอน” จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการสูญเสียอิเลกตรอนไม่ได้มีผลต่อสภาพร่างกายมนุษย์เท่านั่น แม้แต่การเกิดสนิมของโลหะก็เกิดขึ้นเพราะมีปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ที่เกิดการสูญเสียอิเลกตรอนจนเกิดการทำปฏิกิริยาเคมีกับอากาศหรือน้ำและเกิดสนิมในโลหะได้ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยหนึ่งที่จะยกตัวอย่างก็คือสภาวะที่คนเราทานอาหารที่มีสภาพความเป็นกรดสูงเกินพอดี ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยค่า PH (Power of Hydrogen)ซึ่งเป็นวิธีการวัด ไฮโดรเจนอิออน ซึ่งปกติแล้วน้ำซึ่งมีสูตรทางเคมีคือ H2O โดยแบ่งออกเป็นไฮโดรเจนประจุบวกหรือ H+ กับ ส่วนที่เป็นประจุลบคือ OH- มารวมตัวกันเป็นน้ำ ซึ่งถ้าในน้ำนั้นมีจำนวนไฮโดรเจนประจุบวก H+ มากกว่าประจุลบ OH- สภาพนั้นคือสภาพความเป็นกรด (Acid) ในทางตรงกันข้ามในน้ำนั้นหากมีประจุลบใน OH- มากกว่าประจุบวกใน H+ สภาพนั้นก็จะเรียกว่าเป็น ด่าง (Alkaline)
ค่าความเป็นกรดด่างจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-14 โดยค่าที่ต่ำกว่า 7 คือสภาพที่เป็นกรด ค่าที่เกินกว่าคือสภาพที่เป็นด่างคือสภาพที่ จากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าสภาวะปกติเลือด น้ำเหลือง และของเหลวในสันหลัง จะมีค่า PH ที่ประมาณ 7.4 หรือที่ค่า PH ที่สูงกว่า 7.4 เล็กน้อยจะทำให้เซลล์มะเร็งคงตัว ในขณะที่หากสามารถทำให้มีค่า PH อยู่ถึงระดับ 8.5 ได้ เซลล์มะเร็งก็จะตายลงในทันใด
ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะน้ำที่เป็นกรดหรือมีประจุบวก H+มากเกินไป โดยธรรมชาติก็จะพยายามดึงอิเลกตรอนจากเซลล์ต่างๆภายในร่างกายเราไปใช้มากขึ้น หากเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้มากๆ ก็จะทำให้โมเลกุลในร่างกายเรานั้นสูญเสียอิเล็กตรอน ก็จะมีโอกาสที่จะเกิดเป็นสภาวะเป็นอนุมูลอิสระที่ลุกลามต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
ในทางตรงกันข้ามน้ำที่มีสภาพความเป็นด่างหรือมีประจุลบจาก OH- อย่างเพียงพอก็จะช่วยในการชะลอการสูญเสียอิเลกตรอนจากเซลล์ต่างๆภายในร่างกายเราได้เช่นกัน
ในหลักสูตรล้างพิษตับของโรงเรียนผู้นำ ชาวสันติอโศกได้เคยตรวจสอบพบว่า คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งร้ายแรง เมื่อตรวจน้ำลายด้วยกระดาษลิตมัส จะได้ค่า PH เป็นกรดในระดับ 5 หรือตรวจในปัสสาวะก็จะมีสภาพความเป็นกรดสูงเช่นกัน ดังนั้นใครสนใจว่าร่างกายตัวเรามีสภาพกรดหรือด่างมากหรือน้อยไปเพียงใดให้ลองตรวจเบื้องต้นวัดที่น้ำลายและปัสสาวะโดยใช้กระดาษลิตมัสก็น่าจะได้ข้อมูลดังกล่าวได้
ดร.ออตโต้ วอร์เบิร์ก นักวิทยาศาสตร์รางวันโนเบลเมื่อ พ.ศ. 2474 ได้เคยระบุการค้นพบว่าร่างกายมนุษย์นั้นเซลล์มะเร็งนั้นมักจะพบในที่ๆซึ่งไม่มีออกซิเจนในร่างกาย งานวิจัยชิ้นนี้ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าสภาพความเป็นกรดหรือไฟฟ้าประจุบวกมากๆก็มีโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น (Oxidation) ร่างกายจนออกซิเจนซึ่งมีประจุลบในร่างกายนั้นถูกนำมาทำปฏิกิริยาจนบริเวณดังกล่าวไม่พบออกซิเจน
อนุมูลอิสระมีที่มาจากทั้งแหล่งภายนอกร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศ โอโซน ไนตรัสออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ฝุ่น ควันบุหรี่ อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว น้ำอัดลม และคนที่รับประทานเนื้อสัตว์มากโดยไม่ชอบทานผักและผลไม้ก็จะมีสภาวะความเป็นกรดสูงมาก แม้แต่อารมณ์เครียดและโกรธ ก็จะสร้างภาวะความเป็นกรดในร่างกายได้เช่นกัน
ในทางตรงกันข้ามสารต้านอนุมูลอิสระหรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า Anti Oxidant ก็อยู่ในพืชและผักหลายชนิด ได้แก ผักใบเขียว (เช่น ตำลึง และผักบุ้ง) หรืออาหารที่มีสีเหลือง (เช่น มะละกอสุก, มะม่วงสุก, มะเขือเทศ, ฟักทอง) รวมถึงอาหารที่มีวิตามิน A, C, E สูง เช่น พืช ผักสีเขียวและผลไม่รสเปรี้ยว ซึ่งอาหารเหล่านี้ให้ฤทธิ์เป็นด่างทั้งสิ้น
ด้วยเหตุผลนี้สูตรค่ายสุขภาพวิถีพุทธของ หมอเขียว (นายใจเพชร กล้าจน) แห่งสันติอโศก จึงเน้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ เพราะสูตรผสมระหว่างย่านาง,ใบบัวบกและใบเตยนั้นนอกจากจะเป็นพืชที่ฤทธิ์เย็นแล้ว ยังเป็นการปรับสมดุลฤทธิ์ด่างเพื่อลดความเป็นกรดในร่างกายได้ด้วย
ด้วยเหตุผลนี้หลักสูตร ล้างพิษตับ ของสันติอโศก ที่ริเริ่มและพัฒนาหลักสูตรโดย คุณแก่นฟ้า แสนเมือง และ คุณขวัญดิน สิงห์คำ และคณะ จึงจัดทำน้ำด่างซึ่งทำมาจากน้ำที่บ่มกับขี้เถ้าแล้ว 7 วัน ให้ผู้เข้าหลักสูตรเพื่อลดความเป็นกรดในร่างกาย
แม้ในต่างประเทศก็มีการนำน้ำฤทธิ์ด่างอย่างเช่น ที่ประเทศอิตาลี มีคุณหมอคนหนึ่งชื่อ ดร.Tullion Simoncini ใช้เบคกิ้งโซดา หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต (ซึ่งให้ฤทธิ์ด่าง)ผสมกับน้ำในสัดส่วนที่แตกต่างกันหลายแบบเพื่อใช้บำบัดให้ผู้ป่วยมะเร็งหลายประเภทได้ดื่มรักษาได้ผลดีระดับหนึ่ง
แต่การวัดค่า PH อาจจะไม่พอ เพราะจะวัดได้แค่ค่าของไฮโดรเจนในน้ำต่างๆเท่านั้น แต่หากเป็นอาหารแล้วก็อาจจะมีสารอาหารอีกหลายชนิดที่สร้างประจุไฟฟ้าได้ด้วย บางทีเราอาจจะต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อวัดค่าไฟฟ้าว่าอาหารเหล่านั้นให้ค่าสุทธิเป็นประจุไฟฟ้าบวกหรือลบที่จะมีการดึงหรือแย่งชิงอิเลกตรอนจากเซลล์ต่างๆในร่างกายเราหรือไม่ อย่างไร?
อุปกรณ์ที่ว่านั้นก็คือเครื่องมือวัดที่ชื่อ Oxidation Reduction Potential หรือค่า ORP เพื่อวัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าว่ามีประจุไฟฟ้าสุทธิเป็นบวกหรือลบมากน้อยเพียงใดใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิโวลต์ ซึ่งถ้าน้ำนั้นมีประจุบวกมากๆ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่มีสภาพความเป็นกรด) ก็จะเป็นอาหารหรือน้ำประเภทที่เป็น Oxidant ที่จะไปสร้างปฏิกิริยา Oxidation หนุนการทำงานของอนุมูลอิสระมากขึ้นในร่างกายมากขึ้น แต่ถ้ามีประจุไฟฟ้าลบ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่มีสภาพความเป็นด่าง) ก็จะเป็นสารอาหารหรือน้ำที่ต้านการทำงานของอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
จากการที่ผมได้ใช้เครื่องมือวัดค่า PH และค่า ORP ในน้ำชนิดต่างๆ พบข้อมูลที่น่าสนใจบางประการที่คิดว่าจะมาแบ่งปันให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ดังนี้
1. น้ำดื่มหลายประเภทในเวลานี้ในตลาดส่วนใหญ่มีสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ และมีค่า ORP เป็นบวกเล็กน้อยประมาณ +100 ถึง +200 มิลลิโวลต์ ในขณะที่น้ำอัดลมในตลาดเกือบทั้งหมดเป็นกรดที่แรงมากค่า PH ประมาณ 3 และค่า ORP เป็น +400 ถึง +500 มิลลิโวลต์ ดังนั้นน้ำอัดลมจึงมีศักยภาพการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) สูง และมีศักยภาพในการเสริมอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มผู้เป็นมะเร็งจึงควรจะงดน้ำประเภทเหล่านี้
2. น้ำที่ผ่านเครื่องไฟฟ้าทุกชนิดจะมีกระแสไฟฟ้าสุทธิประจุบวกเพิ่มมากขึ้น พบว่าแม้ค่า PH จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อทดลองนำน้ำเปล่าไปปั่นในเครื่องปั่นในน้ำผลไม้ 2 นาที พบว่า มีค่า ORP ที่วัดใน 30 นาทีจากเดิมก่อนปั่นพบว่ามีค่า ORP + 88 มิลลิโวลต์ หลังปั่นน้ำเปล่ามีค่า ORP เพิ่มขึ้นเป็น +110 มิลลิโวลต์ (ในเวลาที่เท่ากัน) หรืออีกนัยหนึ่งน้ำเหล่านี้จะมีความสามารถในการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) เพิ่มเร็วขึ้นประมาณ 25% ดังนั้นหากเลือกได้รับประทานผลไม้น่าจะดีกว่าดื่มน้ำผลไม้ปั่นจากเครื่องไฟฟ้า หรือทำน้ำคลอโรฟิลสดจากการบดคั้นด้วยมืออาจจะดีกว่าการปั่นด้วยเครื่องไฟฟ้า
3. น้ำดื่มและน้ำปั่นรวมถึงอาหารแทบทุกชนิด เมื่อทิ้งในอากาศนานขึ้นจะพบว่าค่า ORP จะสูงเป็นประจุบวกเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา หมายความว่าอาหารและน้ำส่วนใหญ่เมื่อทำเสร็จใหม่ๆควรรีบรับประทานดีกว่าปล่อยทิ้งค้างไว้นาน มิเช่นนั้นนอกจากจะมีจุลินทรีย์ลงไปในอาหารมากขึ้นแล้ว ร่างกายเรารับประทานอาหารที่มีศักยภาพในการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) เพิ่มมากขึ้น
4. แม้แต่น้ำด่างที่ทำขึ้นมาจากขี้เถ้าก็ดี แม้จากน้ำด่างจากเครื่องทำน้ำด่างที่ทำในต่างประเทศ (ซึ่งก็มีกระแสไฟฟ้าผ่าน) ก็แม้จะมีประจุลบสุทธิในการวัดค่า ORP ในตอนต้นแต่ก็ไม่เสถียร อีกทั้งจะสูญเสียอิเลคตรอนไปเรื่อยๆ เมื่อเจออากาศ ความร้อน แสงแดด ดังนั้นแม้เป็นน้ำด่างก็ควรจะดื่มให้เร็วมากกว่าจะทิ้งค้างนานไว้เช่นกัน
5. เมื่อตรวจในน้ำปัสสาวะของมนุษย์ พบว่าแม้ค่า PH และค่า ORP ในปัสสาวะของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่พบสิ่งที่เหมือนกันก็คือเมื่อทิ้งไว้นานจะเกิดการย่อยสลายเกิดก๊าซและคายพลังงานออกมาเป็นไฟฟ้าประจุลบมากขึ้น และกลายเป็นด่างมากขึ้น พบว่าบางคนมีสุขภาพปกติได้ตรวจปัสสาวะใน 3 นาทีแรกได้ค่า PH 7.2 และวัดค่า ORP ได้ +64 มิลลิโวลต์ เมื่อเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมงครึ่งพบว่ามีภาวะความเป็นด่างเพิ่มมากขึ้นกลายเป็น 7.5 และค่า ORP กลายเป็น -3 มิลลิโวลต์
นอกจากนั้นเมื่อสำรวจในผู้ป่วยมะเร็งรายหนึ่งพบว่าเมื่อวัดค่า PH ในปัสสาวะพบว่าเริ่มแรกอยู่ที่ 7.1 แต่เมื่อทิ้งใส่ถ้วยแก้วไว้กลับมีอัตราเร่งในการเป็นด่างเร็วมากกว่าคนปกติ และมีค่าประจุลบเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติธรรมดา จนเมื่อเวลาผ่านไป 30 ชั่วโมงพบว่าปัสสาวะกลายเป็นด่างมีค่า PH 9.8
ดังนั้นผู้ที่เลือกดื่มปัสสาวะในการบำบัดรักษาโรค (โดยเฉพาะกลุ่มสันติอโศกจำนวนหนึ่ง) ที่ได้ปฏิบัติตามที่ระบุเอาไว้ในพระไตรปิฎกเพราะความศรัทธาแล้ว ในภายหลังต่อมาจึงมีการอธิบายทางวิชาการถึงรักษาแบบ “เซรุ่ม”หรือ “พิษต้านพิษ”จากปัสสาวะในการรักษาโรค แต่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อนก็คือ ปัสสาวะอาจมีสภาวะความเป็น Anti Oxidant ตามธรรมชาติที่เป็นด่างเพิ่มมากขึ้นและคายพลังงานประจุลบมากขึ้นเมื่อเวลาเปลี่ยนไป จะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนหายป่วยจากโรคต่างๆด้วยปัสสาวะบำบัดหรือไม่?
ต้องออกตัวก่อนว่า ผมมีความรู้ที่กล่าวมาข้างต้นนี้น้อยนิดมาก เพราะไม่ได้ศึกษาและทำงานด้านนี้โดยตรง จึงได้แค่ค้นคว้า สืบค้น หรือสอบถามผู้รู้เอาเองตามประสาสื่อมวลชน แต่เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวข้างต้นน่าจะเป็นประโยชน์ จึงขอนำผลทดลองทางวิทยาศาสตร์เล็กๆน้อยๆนี้แบ่งปันประสบการณ์ให้ผู้ที่รู้ได้ให้ความเห็นแลกเปลี่ยนต่อไป
“อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้
No comments:
Post a Comment